ฮัลโหลโก๋เก๋ทุกคน มาเจอกันอีกทีช่วงค่ำๆ
แอดปล่อยเจ้ดีลซีพาไปเที่ยวโรงแรมสวยๆกับน้องหมาน้องแมวมาแล้วทั้งวัน
ระหว่างเที่ยวแอดก็สังเกตได้ว่า เอ๊ะ ธุรกิจโรงแรม น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควรเลยนะ หลังโควิดเนี่ย
ว่าแล้วแอดก็เปิดตำราหาข้อมูลมาฝากทุกคน
เจอข้อมูลน่าสนใจจาก Lonely Planet
ลองอ่านไปพร้อมๆกันเลยนะ ตามคำบรรยายได้ภาพจ้า 🤓

ด้วยความที่แขกจะเล็งเห็นความสำคัญเรื่องความสะอาดเป็นลำดับต้นๆเลย รวมถึงเวลาการให้คะแนนโรงแรมตอนรีวิวด้วย ฉะนั้น โรงแรมก็ต้องให้ความสำคัญในการทำความสะอาดเป็นพิเศษทั้งส่วนหน้าและหลังบ้าน มีการจัดการที่เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งในเรื่องการทำความสะอาด สุขอนามัย รวมถึงการประเมินสิ่งต่างๆเหล่านี้ที่ต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ โรงแรมอาจจะมีการใช้หลักปฏิบัติเดียวกัน รวมไปถึงการ deep clean ห้องนอนและห้องน้ำหลังจากลูกค้าเช็คเอ้าท์ ในบางแบรนด์โรงแรมก็แอดวานซ์กว่านั้น จะมีการ make sure ว่า จะไม่มีใครเข้าห้องลูกค้าที่กำลังมาเช็คอินเลยหลังทำความสะอาดเสร็จแล้ว โดยจุดที่มีการสัมผัสในห้องก็ต้องมีการฆ่าเชื้อด้วยเช่นกันจ้า เช่น รีโมททีวี สวิตช์ไฟ ลูกบิดประตู เป็นต้น

นึกภาพเวลาเราไปกินอาหารเช้าที่ไลน์บุฟเฟต์ใช่มะ เรื่องการรักษาระยะห่างนี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เราต้องจับช้อน ทัพพี หรือเหยือกน้ำร่วมกับแขกคนอื่นๆ หลังจากนี้เราอาจจะต้องกินจานใครจานมันหรือห้องอาหารอาจจะทำเป็น grap-and-go ก็ว่าไป แม้กระทั่งเวลาเราไปดื่ม ก็จะมีกับแกล้มฟรีชะ มันก็อาจจะไม่มีอีกต่อไปเพื่อป้องกันการส่งต่อภาชนะให้กัน ฉะนั้น โรงแรมต้องงหาวิธีลดการสัมผัสระหว่างแขกให้มากที่สุด อาจจะไม่มีมินิบาร์ในห้อง หรือการเสิร์ฟอาหารที่ห้องด้วยเหมือนกัน ฮืออ อะไรกันเนี่ยยย

เพื่อลดการปฏิสัมพันธ์ อาจจะมีการนำเทคโนโลยีพวก self check-in มาใช้ การใช้กุญแจห้องแบบดิจิตอล โดยใช้การแสกนโทรศัพท์แทนการใช้คีย์การ์ด หรือแม้กระทั่งการใช้โทรศัพท์มือถือในการควบคุมสิ่งต่างๆในห้อง เช่น การเปิดปิดไฟ การชำระค่าใช้จ่ายขณะเช็คเอ้าท์ผ่านโทรศัพท์มือถือก็เป็นไปได้เหมือนกันนะ ลดการสัมผัสทุกอย่างไปเลยยยย แอดวานซ์ไปกว่านั้น รู้มั้ยว่า บางโรงแรมใช้หุ่นยนต์ในการฆ่าเชื้อในห้องนะ โดยการฉายแสงไปทั่วๆห้อง สุดปังอลังการ เทคโนโลยีนี้เรียกว่า LightStrike จ้า

หลายคนชอบไปชิลที่สระน้ำ หรือใช้ยิมทุกครั้งที่พักโรงแรม ต่อไปแน่นอนว่าต้องมีการจำกัดจำนวนคนใช้ยิม เช่น บางที่ใช้อัตราส่วน ว่าคนหนึ่งคนควรใช้พื้นที่ประมาณ 3 ตารางเมตร แต่ละเครื่องออกกำลังก็ควรห่างกันสองเมตร ต้องมีการทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านั้นหลังเล่นด้วยนะ เนี้ยบสุดๆอ่ะ พอไปสระน้ำเก้าอี้สระก็ต้องตั้งห่างๆกัน อย่างน้อยสองเมตรงิ สระน้ำก็ต้องทำความสะอาด ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องมีการทำความสะอาดเป็นอย่างดีเหมือนกัน ต้องมีการฆ่าเชื้อตามจุดสัมผัสต่างๆเป็นสำคัญ

ถ้าที่ไหนไม่สามารถทำ self check-in ได้ก็ต้องแน่ใจว่ามีการเว้นระยะห่างที่ดี มีเจลล้างมือให้ลูกค้า ตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าโรงแรมหรือระหว่างการเข้าพัก (หรือมีการติดตั้งกล้องตรวจจับอุณหภูมิ) และพนักงานก็ต้องทำแบบเดียวกันจ้า

ต้องมีมากกว่าเดิม แบบมากๆ โดยเฉพาะกับลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจเวลามาพักที่โรงแรมจ้า พนักงานต้องตอบคำถามและให้ข้อมูลลูกค้าได้ว่า โรงแรมมีมาตรการเกี่ยวกับโควิดยังไง และจะดูแลลูกค้าได้ดีแค่ไหน อาจมีการประชาสัมพันธ์เรื่องพวกนี้ผ่านช่องทางต่างๆด้วย เช่น social media ต่างๆ จ้า

โรงแรมต้องคิดว่าทำยังไงน้า จะทำให้ลูกค้ากลับมาพักด้วยอีกครั้ง บางโรงแรมอาจจะเล่นกับโปรแกรมสมาชิก เช่น การยืดเวลาการเลื่อนสถานะของสมาชิกออกไป การได้รับส่วนลดเพิ่ม หรือการสะสมแต้มต่างๆ หรือจะทำเป็นบัตรของขวัญเพื่อซื้อไว้ใช้สำหรับการเข้าพักครั้งหน้า ก็เป็นไอเดียที่ดีนะ บางที่ก็มีการทำแพ็คเกจที่รวมอาหาร takeaway หรือเกมต่างๆเพื่อเอาใจลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัวจ้า

หรือ minimalism นั่นแหละ โรงแรมหลายโรงแรม โดยเฉพาะที่หรูๆ ก็จะมีบริการมากมายคอยเอาใจลูกค้า แต่ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแนวเป็นมินิมอลมันก็ช่วยลดกระบวนการฆ่าเชื้อตามจุดต่างๆได้ดีเหมือนกันนะ ลดจำนวนของในห้องงิ แต่งห้องแบบน้อยชิ้นแต่ดูดี เทรนด์นี้ต้องมาอ่ะ หรืออะไรที่ไม่จำเป็นต้องมีในห้องก็ต้องตัดไป เช่น พวกปากกาฟรี กระดาษโน้ต ของตกแต่งต่างๆ นิตยสาร ก็ว่ากันไป หรืออาจจะให้เจลล้างมือแทน 555

ด้วยข้อจำกัดมากมายในการเดินทางในแต่ละที่บนโลกก็แตกต่างกันไป ผู้คนมีแนวโน้มที่จะไปที่ที่คนไม่พลุ่งพล่าน ไปตามที่ชนบท หรือท้องถิ่นต่างๆที่ไกลออกไปจากตัวเมือง กว่า 50% ผู้คนอยากจะเที่ยวภายในเขตพื้นที่ที่อาศัยอยู่ เช่น แอดอยู่ในเมืองเชียงใหม่ แอดก็อาจจะไปแค่ต่างอำเภอ ไม่ข้ามจังหวัด อีกอย่าง คนก็จะมองหาที่พักที่มีเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นได้มากกว่าปกติด้วย พวกจ่ายแล้วไม่คืนเงินคือลืมไปได้เลย การจองแบบจ่ายที่โรงแรมหรือยกเลิกฟรีก็จะมากขึ้น